2 ธันวาคม 2567
เสวนาสาธารณะ มองไกลวิสัยทัศน์อาเซียนหลังปี 2025 ไทยต้องเตรียมรับมืออย่างไร
กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเวทีเสวนาสาธารณะประเด็นสำคัญส่งท้ายปี หัวข้อ “Our ASEAN Vision: from People to Power จุดประกายคนอาเซียน เปลี่ยนอนาคต” ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เมื่อ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยแบ่งการเสวนาออกเป็น 2 ช่วง เปิดกว้างให้ภาคส่วนต่างๆ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองในมิติหลากหลาย ทั้งประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ความท้าทายระหว่างชาติมหาอำนาจ สงครามการค้า ฯลฯ ตั้งเป้ากระตุ้นสังคมให้เตรียมความพร้อมรับมืออนาคต และวิสัยทัศน์อาเซียนหลัง ค.ศ. 2025 รวมทั้งวิสัยทัศน์ของไทยต่อการขับเคลื่อนอาเซียนในอนาคต
เวทีเสวนาที่ 1 หัวข้อ “Empowering People for ASEAN beyond 2025 แผนพัฒนาคนเพื่อรองรับอาเซียนหลังปี 2568” มีผู้ร่วมเสวนาประอบด้วย วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย, พริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน, จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และ อเล็กซ์ เรนเดลล์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาประเทศไทย

วงพูดคุยแรกร่วมกันฉายภาพอาเซียนในปัจจุบัน เน้นสถานการณ์ประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย 20% ของประชากรไทยในขณะนี้อายุเกิน 60 ปี โดย วิศิษฐ์ เผยว่าในอนาคตอันใกล้ กลุ่มผู้สูงวัยจะกลายเป็นฐานประชากรของประเทศ ขณะที่จำนวนเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาพุ่งสูงถึง 3.6 ล้านคน ด้าน พริษฐ์ ชูประเด็นของคนในเชิงปริมาณและคุณภาพ จำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยกว่าจำนวนผู้สูงอายุ ระบบการศึกษาไทยไม่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะที่มีอยู่ยังแข่งกับโลกไม่ได้ พร้อมเสนอแนวทางแก้ไข เช่น การแลกเปลี่ยนครูในอาเซียนเพื่อเสริมทักษะภาษาอังกฤษ การพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี และการดึงบุคลากรทางการแพทย์จากประเทศสมาชิกอาเซียนมาร่วมแก้ไขปัญหาขาดแคลนในภาคสาธารณสุข
ส่วน จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ชี้ว่าการเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปี อาจไม่เพียงพอต่อโลกการทำงานในอนาคตที่กินจะเวลายาวนานขึ้น เพราะคนอายุยืนขึ้น แนวคิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ตลอดชีวิตจึงจำเป็นสำหรับทุกคน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเสนอให้ประเทศไทยมุ่งพัฒนาสินค้าและบริการดิจิทัล เช่น AI และการค้าดิจิทัล ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญภายใต้กรอบ DEFA ในปี 2025 นอกจากนั้นยังเน้นย้ำประเด็นที่ไทยควรเปิดพื้นที่เสรีอย่างแท้จริง เพื่อดึงคนเก่งจากชาติอื่นๆ มาทำงานในประเทศ และพัฒนาธุรกิจภายใต้แบรนด์ไทย
ปิดท้ายที่ อเล็กซ์ เรนเดล ที่พูดถึงวิกฤตใหญ่ 3 ด้าน ได้แก่ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมลพิษ โดยเน้นว่าอาเซียนควรเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (Sustainable Tourism) และใช้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศในภูมิภาคเป็นจุดแข็ง



เวทีที่ 2 หัวข้อ “Positioning Thailand Amidst Changes and Opportunities ทิศทางไทยท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและโอกาส” ร่วมเสวนาโดย รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน, ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ Fellow สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประธานมูลนิธิสุรินทร์ พิศสุวรรณ และ ผศ.ชล บุนนาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move), ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพและความยั่งยืน และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งหมดร่วมกันนำเสนอมุมมองเชิงวิเคราะห์ถึงความท้าทายรอบด้านที่อาเซียนจะต้องเผชิญในอนาคต ทั้งมิติการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงยุทธศาสตร์ที่จะทำให้อาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
รศ. ดร.ปิติ กล่าวถึงระเบียบโลกใหม่และการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุค "สงครามเย็น 2.0" ระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน อีกทั้งพื้นที่การแข่งขันยังแผ่ขยายไปไกลกว่าที่เคยเป็นมา เช่น ใต้มหาสมุทร และในอวกาศ โดยเน้นว่าทักษะสำคัญที่คนในยุคนี้ต้องมีคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ ดร. อาร์ม วิเคราะห์สถานการณ์โลกหลังสหรัฐฯ เสร็จสิ้นการเลือกตั้งได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งจะส่งผลต่อสถานการณ์การเมืองโลกอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังชี้ว่า อาเซียนในยุคทรัมป์ 2.0 มีสิทธิ์เจ็บหนัก จาก 3 แรงบีบ ได้แก่ แรงบีบจากตลาดสหรัฐฯ แรงบีบจากตลาดจีน และแรงบีบจากตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ที่ต่างก็ต้องการให้ประโยชน์สูงสุดเป็นของตนเอง ซึ่งอาเซียนต้องเร่งสร้างความสัมพันธ์กับตลาดใหม่เพื่อความยั่งยืน
ส่วน ดร. ฟูอาดี้ เสนอให้มองปัญหาเมียนมาในมุมที่สร้างผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเน้นความสำคัญของไทยในฐานะมหาอำนาจขนาดกลางของอาเซียน และกระตุ้นให้ไทยแสดงบทบาทเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศ ในขณะที่ ผศ.ชล บุนนาค กล่าวถึงเทคโนโลยีสีเขียวว่าเป็นกุญแจสำคัญสำหรับอนาคต พร้อมเน้นการลงทุนในพลังงานสะอาดผ่านกลไกอาเซียนเพื่อลดต้นทุนและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้อาเซียนสามารถก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs)
เวทีเสวนานี้ตอกย้ำบทบาทสำคัญของอาเซียนในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมความร่วมมือเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและรุ่งเรืองของภูมิภาค
ขอบคุณภาพประกอบเพิ่มเติมจาก Facebook กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ และ The Standard
views 789