29 ตุลาคม 2568
พางานวิจัยสู่ตลาด เริ่มที่การเข้าใจเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา
 
 
 
เคยไหมที่ทุ่มเทเวลาหลายปีในห้องแล็บหรือห้องสมุด ก่อร่างผลงานวิจัยที่แสนภาคภูมิใจ แต่สุดท้ายจบเพียงตีพิมพ์ในวารสารหรือถูกเก็บในฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัย ราวกับสมบัติล้ำค่าที่ถูกหลงลืม คำถามคือ ในโลกที่หมุนเร็วเช่นนี้ งานวิจัยของคุณจะหยุดอยู่ในแวดวงวิชาการเท่านั้น หรือจะก้าวต่อเป็น “สินทรัพย์ที่มีมูลค่า” สร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจและสังคม
 
ในอดีต มูลค่าของธุรกิจถูกวัดจากสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ที่ดิน โรงงาน หรือเครื่องจักร แต่กระบวนทัศน์นี้เปลี่ยนไปในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การประมาณการจาก Brand Finance ระบุว่า มูลค่าของ “สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน” (Intangible Assets) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา จนแตะระดับ 80 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024
 
ไม่เพียงเท่านั้น ทุกวันนี้สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน คิดเป็นสัดส่วนราว 90% ของมูลค่าบริษัทในดัชนี S&P 500 ซึ่งประกอบด้วยบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดของสหรัฐฯ ข้อมูลจากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ยังระบุอีกว่าทรัพย์สินทางปัญญาและสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าในห่วงโซ่อุปทานได้ถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้
 
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของ “เศรษฐกิจฐานความรู้” (Knowledge-based Economy) อย่างเต็มรูปแบบ และบทบาทของมหาวิทยาลัยก็ขยับจากแหล่งผลิตองค์ความรู้ สู่หัวใจของระบบนิเวศนวัตกรรมที่เชื่อมโยงภาคธุรกิจและสังคม
บทความนี้ประมวลจากเนื้อหาในการอบรมเชิงวิชาการ “IP Management & Tech Transfer Upskill” ซึ่ง CU Innovation Hub จัดร่วมกับ CIP Value Co., Ltd. เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา TAIC จึงขอคัดสรรความรู้จากการบรรยาย ตั้งแต่กรอบความคิด และความสำคัญของลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา การทำ Patent Landscape และกรณีศึกษาการต่อยอดสู่ตลาด มาเรียบเรียงเป็นข้อมูลตั้งต้น สำหรับสำรวจเพื่อทำความรู้จัก เพื่อการวางแผน และเพื่อตัดสินใจพางานวิจัยก้าวไปสู่โลกจริง
 
ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา และการประยุกต์ใช้ในบริบทงานวิจัย
ในโลกวิชาการ การผลิตงานวิจัยคือหัวใจของการสร้างองค์ความรู้ใหม่ แต่น้อยคนจะตระหนักว่า ผลงานวิจัยจำนวนมากสามารถแปลงเป็นทรัพย์สินทางเศรษฐกิจได้ นี่คือจุดที่ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) เข้ามามีบทบาทสำคัญ
ทรัพย์สินทางปัญญาครอบคลุมผลงานสร้างสรรค์ทางความคิดที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละประเภทมีขอบเขตและวิธีการคุ้มครองที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจประเภทของทรัพย์สินทางปัญญาจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญสำหรับนักวิจัยในการปกป้องผลงานจากการถูกลอกเลียน และวางแผนต่อยอดงานวิจัยต่อไป
 
ทรัพย์สินทางปัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ลิขสิทธิ์ (Copyright) และ 2. ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม (Industrial Property) มีรายละเอียด ดังนี้
1. ลิขสิทธิ์ (Copyright) สิทธิอัตโนมัติของผู้สร้างสรรค์งาน (เช่น หนังสือ เพลง ภาพ วิดีโอ โค้ด) ในการควบคุมการใช้งาน ทั้งการทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ ให้เช่า และอนุญาตให้ผู้อื่นใช้  แต่ไม่ครอบคลุมถึงวิธีใช้ วิธีคิด วิธีทำงาน รวมถึงการค้นพบทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์
2. ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม (Industrial Property) คือสิทธิที่คุ้มครองนวัตกรรม สัญลักษณ์ทางการค้าในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยมากต้องจดทะเบียนจึงคุ้มครอง ยกเว้นความลับทางการค้า แบ่งออกได้เป็น
2.1 สิทธิบัตร (Patent) เป็นเครื่องมือที่คุ้มครองสิ่งประดิษฐ์และกรรมวิธีใหม่ มีขั้นการ
ประดิษฐ์สูงขึ้น และสามารถใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมได้ สิทธิบัตรแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่   
(1) สิทธิบัตรการประดิษฐ์ (Invention Patent) คุ้มครองลักษณะโครงสร้าง หรือกลไก
ของผลิตภัณฑ์ รวมถึงกระบวนการผลิต หรือการปรับปรุงคุณภาพ
(2) สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Design Patent) มุ่งคุ้มครองรูปลักษณ์ภายนอก
ของผลิตภัณฑ์ เช่น รูปร่าง, รูปทรง, หรือลวดลาย
(3) อนุสิทธิบัตร (Petty Patent) คุ้มครองการปรับปรุง การประดิษฐ์ที่ไม่ต้องมีขั้นการประดิษฐ์สูงแต่ต้องใหม่ และใช้ประโยชน์เชิงอุตสาหกรรมได้
2.2 เครื่องหมายการค้า (Trademark) ใช้เพื่อคุ้มครองชื่อ, ตราสินค้า, หรือสัญลักษณ์ที่ใช้
ในการค้า เพื่อบ่งบอกถึงแหล่งกำเนิดสินค้าหรือบริการ สำหรับนักวิจัยที่ต้องการนำงานไปสู่ตลาด
2.3 ความลับทางการค้า (Trade Secret) เป็นองค์ความรู้, สูตร, หรือข้อมูลที่ไม่เปิดเผยต่อ
สาธารณะ ซึ่งมีมูลค่าในเชิงพาณิชย์ ความลับทางการค้าเป็นทางเลือกในการคุ้มครองงานวิจัยในกรณีที่เจ้าของไม่ต้องการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดผ่านการจดสิทธิบัตร ตัวอย่างเช่น กรรมวิธีการผลิตหรือสูตรเฉพาะที่หากเปิดเผยแล้วจะทำให้สูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขัน  
2.4. สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications - GI) ใช้คุ้มครองชื่อสินค้าที่มา
จากแหล่งผลิตเฉพาะเจาะจง ซึ่งคุณสมบัติหรือชื่อเสียงของสินค้ามีความเชื่อมโยงกับปัจจัยทางภูมิศาสตร์ เช่น ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง หรือผ้าไหมยกดอกลำพูน GI มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชนและผลผลิตทางการเกษตร  
 
 
 
 
ตัวอย่างสินค้า GI ตามภูมิภาคต่าง ๆ
 
 
พระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 (TRIUP Act)
พระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “TRIUP Act” ถือเป็นกฎหมายฉบับสำคัญที่ออกแบบมาเพื่อผลักดันให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากภาครัฐถูกนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้
สาระสำคัญของกฎหมายนี้ คือ ผู้รับทุนวิจัยหรือนักวิจัยสามารถเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่ได้รับทุนจากหน่วยงานภาครัฐได้ ซึ่งการที่นักวิจัยสามารถเป็นเจ้าของผลงานของตนเองได้นั้น ส่งผลโดยตรงต่อแรงจูงใจในการวางแผนพัฒนาและใช้ประโยชน์จากผลงานตั้งแต่ต้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังผู้ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม การได้รับสิทธิตาม พ.ร.บ. นี้ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบ นักวิจัยจำเป็นต้องจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ และแจ้งผลการค้นพบใหม่ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่ดำเนินการตามขั้นตอน สิทธิในผลงานอาจถูกโอนคืนให้กับผู้ให้ทุน โดยที่นักวิจัยยังคงได้รับส่วนแบ่งรายได้ในภายหลังตามที่กฎหมายกำหนด
 
ด้วยกลไกนี้ พ.ร.บ. TRIUP จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงการสร้างความรู้เข้ากับการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยตรง ช่วยลดช่องว่างระหว่างงานวิจัยกับการใช้ประโยชน์จริง ทำให้นวัตกรรมที่เกิดจากทุนสาธารณะไม่ถูกปล่อยทิ้งไว้บนหิ้ง และยกระดับบทบาทของนักวิจัยจากผู้สร้างสรรค์ สู่ผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมในระบบเศรษฐกิจ
 
กลยุทธ์การนำ IP ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
การจะเปลี่ยนผลงานวิจัยให้กลายเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว สิ่งที่ต้องคำนึงไม่ใช่แค่เนื้อหาทางวิชาการหรือความใหม่ของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลยุทธ์ที่ใช้ในการนำผลงานออกไปสู่โลกภายนอกด้วย
การสร้างมูลค่าจากทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้มีเพียงแค่วิธีเดียว แต่สามารถเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ได้ กลยุทธ์หลักในการนำ IP ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มี 4 รูปแบบ ดังนี้
 
การนำไปใช้โดยตรง (Direct Use) นักวิจัยหรือสถาบันเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้า หรือบริการที่มาจาก IP นั้นด้วยตนเอง โดยอาจมีการก่อตั้งเป็นบริษัทใหม่ในรูปแบบ Spin-off
การขายสิทธิ (Sale/Assignment) การขายสิทธิความเป็นเจ้าของ IP ทั้งหมดให้กับบุคคลหรือองค์กรอื่น ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับเงินทุนก้อนใหญ่ในคราวเดียว
การอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing) การที่เจ้าของ IP ให้สิทธิแก่ผู้อื่น (Licensee) ในการใช้ IP ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด วิธีนี้สร้างรายได้ในรูปของค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าสิทธิ ที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย
ความร่วมมือ (Collaboration) ใช้ IP เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น การร่วมทุน หรือการวิจัยและพัฒนาร่วมกัน (R&D Collaboration)
อย่างไรก็ตาม ก่อนการลงนามในข้อตกลงใด ๆ การทำความเข้าใจและกำหนดขอบเขต IP ที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในสามประเด็นหลัก ได้แก่
Background IP: IP ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่แล้วก่อนการร่วมมือ
Foreground IP: IP ใหม่ที่เกิดขึ้นระหว่างการร่วมมือ
Access Rights: สิทธิในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก IP ที่เกิดขึ้นใหม่หลังสิ้นสุดโครงการ
การจัดการประเด็นเหล่านี้อย่างรอบคอบตั้งแต่ต้น จะช่วยป้องกันความขัดแย้งในอนาคตและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวที่ประสบความสำเร็จ
 
ภูมิทัศน์สิทธิบัตร (Patent Landscape) เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อลดความเสี่ยง และค้นหาโอกาส
ในโลกแห่งนวัตกรรมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เปรียบเสมือนการเข้าสู่สนามรบที่มีทั้ง “ดินแดนที่ยังไม่มีใครรู้จัก” (Land of Unknow) ซึ่งเปี่ยมไปด้วยโอกาสสำหรับผู้บุกเบิกรายแรก และ “ดินแดนที่มีผู้บุกเบิกไปแล้ว” (Land of Unreached) ซึ่งเต็มไปด้วยการแข่งขัน ความเสี่ยงสูงสุดประการหนึ่งของนักวิจัยคือการใช้ทรัพยากรจำนวนมากไปกับการวิจัยและพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่ผู้อื่นได้ทำไว้แล้ว หรือการสร้างสิ่งที่มีอยู่แล้วโดยไม่จำเป็น
 
Patent Landscape Analysis คือเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยนำทางให้นักวิจัยและผู้ประกอบการในสนามรบนี้ โดยเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลสิทธิบัตรเพื่อทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมทางนวัตกรรมโดยรวม การวิเคราะห์นี้ทำผ่าน 5 มิติสำคัญในระบบนิเวศนวัตกรรม ได้แก่
 
What: องค์ประกอบของเทคโนโลยีที่อยู่ในระบบ
Where: การจัดวางและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ
When: ช่วงเวลาที่องค์ประกอบต่าง ๆ เกิดขึ้น
Trend: แนวโน้มและทิศทางการพัฒนาของแต่ละองค์ประกอบ
Who: เจ้าของหรือผู้ที่ถือครองสิทธิในแต่ละองค์ประกอบ
 
ด้วยการวิเคราะห์เชิงลึก Patent Landscape ช่วยให้นักวิจัยสามารถลดความเสี่ยง และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีหลักการมากขึ้น เช่น การกำหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนา การประเมินคู่แข่ง การหาช่องว่างทางเทคโนโลยีที่ยังไม่มีใครเข้าไปบุกเบิก และการหาพันธมิตรที่เหมาะสมสำหรับการควบรวมกิจการหรือความร่วมมือ
 
 
ตัวอย่างการวิเคราะห์เอกสารสิทธิบัตร เรื่อง Styrene/Polystyrene จำนวน 16,000  เรื่อง แสดงผลในรูปภาพ ThemeScape Map
 
 
Spin-off Company จากจุฬาฯ สู่ตลาดโลก
ชวนมองเส้นทางจริงของงานวิจัยเมื่อก้าวออกจากห้องปฏิบัติการสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านตัวอย่างที่จับต้องได้
InnoPhytoTech เกิดจากทีมวิจัยด้านชีวเคมีที่รวมตัวภายใต้ Chula Spin-Off เพื่อต่อยอดองค์ความรู้สู่ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเชิงสุขภาพ ทีมงานใช้ความเชี่ยวชาญด้านสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากผลผลิตการเกษตร มาพัฒนาโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรม functional food เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับเทรนด์โลก
 
 
 
อีกกรณีคือ CURE Enterprise สตาร์ทอัพจากคณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ ได้พัฒนาหน้ากากกรองอากาศ 
CUre Air Sure สู่ตลาด ผลงานนี้คว้ารางวัลนวัตกรรมสุขภาพระดับนานาชาติ โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพกรองฝุ่น PM2.5 และอนุภาคขนาดราว 0.1 ไมครอนได้ในระดับสูง โครงสร้างซิลิโคนกระชับรับใบหน้าคนไทย หายใจสะดวก ถอดล้างและเปลี่ยนแผ่นกรองได้ ลดภาระขยะใช้ครั้งเดียวทิ้ง ที่สำคัญ โมเดลธุรกิจนี้จะส่งกำไรประมาณ 60% คืนสู่มหาวิทยาลัยเพื่อเป็นทุนวิจัยต่อยอด นี่คือต้นแบบที่แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนของการวิจัยจากภาคการศึกษาที่เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจอย่างแท้จริง  
 
ขณะที่ 
DeepGI ระบบ AI ช่วยแพทย์ตรวจมะเร็งลำไส้จากความร่วมมือของ รพ.จุฬาลงกรณ์ และคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งผ่านการทดสอบวิจัยและได้รับอนุมัติจาก อย. แล้ว ขั้นต่อไปคือขยายการใช้งานในโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โดยการสนับสนุนของทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นอกจากนี้ในโรงพยาบาลของภาคเอกชนสามารถติดต่อเพื่อนำไปใช้ได้ผ่านบริษัท Startup ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อไป
 
 
 
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ในยุคที่ความคิดสามารถแปรเปลี่ยนเป็นมูลค่า การมองงานวิจัยเป็นเพียงผลงานทางวิชาการย่อมไม่เพียงพอ แต่งานวิจัยจะกลายเป็นสินทรัพย์ทางธุรกิจได้ก็ต่อเมื่อมีการวางแผนเชิงรุกตั้งแต่ต้นน้ำอย่างมีระบบ ทำความเข้าใจเรื่องสิทธิบัตร จัดการเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และเตรียมกลไกการต่อยอดให้พร้อม เช่นการทำบริษัท Spin-Off รวมถึงการพัฒนาร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชนต่าง ๆ ควบคู่การให้ความรู้แก่ทีมวิจัยและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง งานวิจัยย่อมก้าวจากงานวิชาการเข้าสู่ตลาดได้อย่างมั่นคง แปลงเป็นผลิตภัณฑ์ บริการ และรายได้ พร้อมส่งคุณค่ากลับคืนสู่สังคมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
 
คำสำคัญ:
ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม, สิทธิบัตร, เครื่องหมายการค้า, ความลับทางการค้า, สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
Keywords:
Industrial Property, Patent, Trademark, Trade Secret, Geographical Indications
 
 
 
หนังสือแนะนำอ่านเพิ่มเติม:
 
คณะวิชาการ The Justice Group (2566). รวมกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ล่าสุด พ.ศ. 2566). The Justice Group.
 
สำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน (2564). กฎหมายน่ารู้สำหรับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย. กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย.
 
วีรวัลย์ ไพบูลย์จิตต์อารี, บรรณาธิการ (2561). “การประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา” รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 139 เมษายน 2561. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
 
เทพรัตน์ พิมลเสถียร (2560). นวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญา. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
 
views 62