สำนักงานวิทยทรัพยากร หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


15 กันยายน 2568

เมื่อ 'ผี' ย้ายบ้าน ไสยศาสตร์และเศรษฐกิจแห่งศรัทธาในโลกสมัยใหม่

 
 
ภาพประกอบบทความ เมื่อ 'ผี' ย้ายบ้าน ไสยศาสตร์และเศรษฐกิจแห่งศรัทธาในโลกสมัยใหม่ ของศูนย์สารสนเทศประเทศไทยและประชาคมอาเซียน สำนักงานวิทยทรัพยากร
 

          ในยุคที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกำลังท้าทายความเข้าใจและวิถีชีวิตดั้งเดิมของมนุษย์ กลับมีปรากฏการณ์หนึ่งที่ดูเหมือนจะย้อนแย้งและทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในสังคมไทย นั่นคือกระแสความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์

 
          ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การปฏิบัติพิธีกรรมที่ดูเหมือนจะสวนทางกับความก้าวหน้าทางวัตถุ แต่ได้แทรกซึมเข้าสู่ทุกแง่มุมของชีวิตผู้คน ตั้งแต่การสวมใส่เครื่องรางของขลัง การเดินทางไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไปจนถึงการเข้าถึงบริการดูดวงและคำปรึกษาผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นช่องทางของกลโกงและการหลอกลวง รวมถึงเป็นที่มาของอำนาจในรูปแบบใหม่
 
          ทัศนะเดิมเกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่มักถูกมองว่าเป็นกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้สังคมใช้เหตุผลมากขึ้น และลดบทบาทความเชื่อหรือพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์แบบดั้งเดิมลง แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน เคยเสนอแนวคิดว่า “Disenchantment” ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าหมายถึงกระบวนการที่มนุษย์ใช้หลักเหตุผลในการอธิบายโลกมากขึ้นและทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเลือนหายไป
 
          อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย จะพบว่าลัทธิพิธีและความเชื่อศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หายไปไหน แต่กลับยังคงมีชีวิตชีวาและถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ความเป็นสมัยใหม่ และสิ่งที่ถูกนิยามว่าเป็นเรื่องงมงาย สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ขัดแย้ง และในหลายกรณีก็หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างน่าสนใจ
 
รากเหง้าแห่งศรัทธา ผี พราหมณ์ พุทธ
          ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์และสิ่งเหนือธรรมชาติในสังคมไทยไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น หากแต่หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมายาวนาน จุดเริ่มต้นมาจากศาสนาผี ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของผู้คนในดินแดนอุษาคเนย์ สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน เมื่อศาสนาพุทธและพราหมณ์จากชมพูทวีปเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาค ความเชื่อเก่ากับความเชื่อใหม่ก็ถูกผสานเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน แม้พิธีกรรมบางอย่างจะถูกลดบทบาทหรือเลือนหายไป แต่ “ผี” ก็ยังคงดำรงอยู่ในฐานะพลังเหนือธรรมชาติ ผ่านพิธีกรรม ร่างทรง ดนตรี และเรื่องเล่าที่เปิดช่องให้ผู้คนสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็น
 
          ในโลกทัศน์ของคนไทยปัจจุบัน พุทธศาสนาและไสยศาสตร์ไม่ได้แยกขาดจากกัน แม้พุทธจะเน้นปัญญาและเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ แต่ในทางปฏิบัติ ความเชื่อทางไสยศาสตร์กลับเข้ามาเสริมศรัทธาในรูปแบบที่พุทธศาสนาอาจไม่ครอบคลุม เช่น การบูชาพระพุทธรูปควบคู่กับการขอพรจากเครื่องรางของขลัง กลายเป็นเรื่องปกติ 
 
          ไสยศาสตร์จึงไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกับพุทธ แต่กลับทำหน้าที่เป็นเครื่องมือเสริมทางจิตวิญญาณ ที่ตอบโจทย์บางด้านที่ศาสนาหลักไม่สามารถเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ ระบบความเชื่อแบบผสมผสานเช่นนี้ทำให้ศรัทธาของคนไทยมีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ตามบริบทและการเปลี่ยนแปลงของสังคมอยู่เสมอ
 
ไสยศาสตร์ กลไกเยียวยาในสังคมที่ไม่มั่นคง
          จากมุมมองทางจิตวิทยา ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติหรือเรื่องลี้ลับมีรากฐานจากความกลัวและความไม่รู้ต่อเหตุการณ์ที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล พิธีกรรมและความเชื่อจึงเข้ามาทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการทั้งทางจิตใจและสังคม เพื่อสร้างความมั่นคงและความรู้สึกปลอดภัยในภาวะที่ควบคุมไม่ได้
 
          ในทางสังคมวิทยา การหวนกลับมาของความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติในยุคปัจจุบันสามารถอธิบายได้ผ่านแนวคิดเรื่อง “ความไม่แน่นอน” ในบริบทของสังคมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างรุนแรง เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และระบบสวัสดิการสังคมที่เปราะบาง การหันไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงกลายเป็นทางเลือกในการบริหารความเสี่ยง และแสวงหาที่พึ่งพาทางจิตใจในยามวิกฤต
 
          ศาสตราจารย์ ชาร์ลส์ เอฟ. คายส์ (Charles F. Keyes) นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านไทยศึกษา เคยชี้ให้เห็นว่า วิกฤตความทันสมัยในสังคมไทยเริ่มปรากฏชัดเจนตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
สอดคล้องกับทัศนะของ ส. ศิวรักษ์ ที่เคยวิเคราะห์ไว้ว่า ความไขว้เขวของค่านิยมพื้นฐานทำให้สังคมไทยยุคใหม่ยึดติดกับเงินและอำนาจเป็นหลัก เมื่อสังคมละเลยความเป็นเลิศทางปัญญา คุณธรรม และความจริง การดำเนินชีวิตแบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” จึงถูกมองว่าเป็นความสำเร็จ ทั้งที่ปราศจากแก่นสารและศีลธรรม ภายใต้ความเปราะบางนี้ การพึ่งพาอำนาจลี้ลับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงกลายเป็นทางออกในการเยียวยาความไม่มั่นคงของผู้คน
 
เมื่อศรัทธาและไสยศาสตร์โคจรมาพบทุนนิยม
          ลักษณะเด่นของความทันสมัยแบบไทย คือการรับเอาวัฒนธรรมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากโลกตะวันตก ซึ่งชนชั้นนำและกลุ่มผู้นำที่ได้รับการศึกษาจากต่างแดนเป็นผู้ผลักดันให้เกิดขึ้น แม้จะมีความพยายามผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนาประเทศส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานองค์ความรู้หรือวัฒนธรรมภายใน หากเป็นการนำเข้าและประยุกต์ใช้ ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลในเชิงโครงสร้างของสังคม
 
          ปีเตอร์ เอ. แจ็คสัน (Peter A. Jackson) ผู้เขียนหนังสือ “เทวา มนตรา คาถา เกจิ: ไสยศาสตร์สมัยใหม่กับทุน(ไทย)นิยม” ชี้ให้เห็นทวิลักษณะของสังคมไทยว่าเป็นสังคมที่ “นับถือพุทธในที่แจ้ง นับถือผีในที่ลับ” ซึ่งสะท้อนผลพวงของกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นสมัยใหม่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 ความเชื่อในไสยศาสตร์ ปาฏิหาริย์ และความขลังจึงถูกผลักให้อยู่ในพื้นที่ชายขอบของวาทกรรมหลัก ทั้งที่ในระดับลึกของจิตวิญญาณ ผู้คนยังคงโหยหาศรัทธาและพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้อย่างไม่เสื่อมคลาย
 
          อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 2520 สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกับการขยายตัวของ “พุทธศาสนาประชานิยม” และการเกิดขึ้นของ “ลัทธิบูชาความมั่งคั่ง”ตามคำอธิบายของปีเตอร์ เอ. แจ็คสัน ความเชื่อไสยศาสตร์ที่เคยถูกผลักไว้ในเงามืดก็ถูกดึงกลับมา ปรับตัว และหลอมรวมเข้ากับระบบตลาดอย่างแนบเนียน ผลลัพธ์คือการเติบโตของธุรกิจพระเครื่อง ของขลัง การอุปถัมภ์พระเกจิและร่างทรง ตลอดจนการนับถือเทพเจ้าจากศาสนาอื่นที่ถูกนำมาผสมผสาน รวมถึงการสร้างเทพเจ้าใหม่ขึ้นอีกมากมาย
 
          ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพุทธศาสนาในสังคมไทย ซึ่งเริ่มพึ่งพาระบบตลาดทุนนิยมมากขึ้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหลักในยุคปัจจุบัน ดังที่ศาสตราจารย์ ชาร์ลส์ เอฟ. คายส์ (Charles F. Keyes) เคยวิเคราะห์ว่า ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของ “พุทธพาณิชย์” มีการจัดพิธีกรรมและจำหน่ายวัตถุมงคลเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่แสวงหา “คุณค่าความขลัง” ภายใต้ราคาที่ตลาดกำหนด ผลลัพธ์คือ ไสยศาสตร์ซึ่งเคยถูกมองว่าอยู่ชายขอบของศาสนา กลับกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทางศาสนาและความเชื่อกระแสหลักในสังคมไทย และยิ่งปรากฏตัวอย่างเปิดเผยมากขึ้นเรื่อย ๆ
 
เศรษฐกิจแห่งศรัทธา โอกาสและหลุมพราง
          การเติบโตอย่างรวดเร็วของ “เศรษฐกิจสายมู” ในยุคดิจิทัล ไม่เพียงสร้างตลาดใหม่ที่น่าจับตา แต่ยังเปิดช่องให้เกิดการหลอกลวงในรูปแบบที่ซับซ้อนและเป็นระบบมากขึ้น ตั้งแต่บริการดูดวงปลอม การรับจ้างทำคุณไสย การขายวัตถุมงคลที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน การแอบอ้างอำนาจเหนือธรรมชาติ รวมถึงการนำความเชื่อเรื่องบุญบาปมาบังหน้า
 
          ในบริบทนี้ สถานะทางศาสนาและความน่าเชื่อถือที่สังคมมอบให้ กลายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ กรณีที่เห็นได้ชัด คือการปรากฏตัวของบุคคลที่อ้างตนเป็น “ผู้ทรงศีล” หรือ “ผู้มีญาณวิเศษ” เพื่อสร้างฐานผู้ติดตามและระดมทุนจำนวนมาก โดยอาศัยความเชื่อเป็นทุนในการดำเนินธุรกิจและสร้างอำนาจส่วนตัว จนเส้นแบ่งระหว่าง “ความศรัทธา” กับ “ผลประโยชน์” เริ่มพร่าเลือนลงทุกที
 
          เมื่อความเชื่อ และค่านิยมของการทำความดีถูกนำมาใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ผู้ที่อยู่ในภาวะเปราะบางทางจิตใจก็มักตกเป็นเหยื่อของการตลาดแห่งศรัทธาได้ง่ายขึ้น ความเชื่อว่าตนถูกกระทำด้วยคุณไสยหรือมนตร์ดำ อาจพัฒนาไปสู่อาการทางจิต เช่น ความวิตกกังวล ความหวาดระแวง หรือแม้กระทั่งภาวะหลงผิด ซึ่งล้วนต้องการการวินิจฉัยและการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ในหลายกรณี ผู้ที่ประสบปัญหากลับถูกชักจูงให้ไปพึ่งการรักษาที่ไร้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่น การเข้าหาหมอผีหรือผู้ทรงเจ้า ซึ่งไม่เพียงไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่ยังอาจซ้ำเติมให้สภาวะทางจิตใจแย่ลงกว่าเดิม
 
          อย่างไรก็ตาม สังคมสมัยใหม่ไม่อาจยึดถือแค่เหตุผล และศรัทธาเองก็ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความเชื่อ แต่อยู่ที่การขาด “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับการตั้งคำถาม ตรวจสอบ และถกเถียงอย่างเปิดกว้าง
 
          เพราะในความเป็นจริง ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล และสามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้ โดยไม่จำเป็นต้องถูกมองว่าเป็นเรื่องผิด สิ่งสำคัญคือการเชื่ออย่างมีสติและมีความรับผิดชอบ เชื่อโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น ไม่ละเมิดต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือสิทธิของใคร และไม่ปล่อยให้ความเชื่อถูกใช้กลายเป็นเครื่องมือ ดังนั้น การสร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคม ผ่านการให้ความรู้ ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูล และการส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จึงเป็นแนวทางที่จำเป็นและสำคัญกว่าการตัดสิน หรือลดทอนคุณค่าของใคร เพียงเพราะเขามีความเชื่อที่แตกต่างจากเรา
 
          กระนั้นก็ตาม แม้ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเยียวยาจิตใจในสังคมที่เปราะบาง แต่เมื่อศรัทธาถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์โดยปราศจากจริยธรรม “การเมืองแห่งศรัทธา” ก็อาจกลายเป็นอาวุธที่เฉียบคมพอจะทำร้ายผู้คนได้โดยไม่ต้องลงมือ
 
เมื่อความกลัวถูกตีมูลค่า และความศรัทธากลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกตลาด คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ผี” ยังมีอยู่จริงหรือไม่ หากแต่เป็นว่าใครกันแน่ ที่กำลังอาศัย “ผี” เพื่อดำรงอำนาจ และที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ ใครกันแน่ที่กำลังกลายเป็น “ผี” เสียเอง ในระบบที่ยังคงหล่อเลี้ยงพวกเขาด้วยศรัทธาของผู้อื่น
 
อ้างอิง:
กมเลศ โพธิกนิษฐ และพัชรินทร์ สิรสุนทร, บรรณาธิการ. (2568).  ผี ร่างทรง และพิธีกรรม. สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยนเรศวร.
Call No: [TAIC] 104567 Library location; https://library.car.chula.ac.th/record=b2394929
 
ปีเตอร์ เอ. แจ็คสัน. (2566). Capitalism magic Thailand : modernity with enchantment [เทวา มน
ตรา คาถา เกจิ : ไสยศาสตร์ยุคใหม่กับทุน (ไทย) นิยม]. มติชน.
Call No: [TAIC] 102709 Library location; https://library.car.chula.ac.th/record=b2332373
 
สุริยา สมุทคุปติ์ และคณะ. (2539). ทรงเจ้าเข้าผี : วาทกรรมของลัทธิพิธีและวิกฤติการณ์ของความทันสมัยใน
สังคมไทย. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร.
Call No: [TAIC] 62561 Library location; https://library.car.chula.ac.th/record=b1537058
 
ชาตรี ประกิตนนทการ. (1 พฤษภาคม 2567). วัดปาฏิหาริย์พาณิชย์ : เขตธรณีสงฆ์สมัยใหม่ ภายใต้ลัทธิบูชา
ความมั่งคั่ง. มติชนสุดสัปดาห์. https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_765100
 
วัชรชัย วิวัฒน์คุณากร. (2567). ไสยศาสนา. วารสารวิชาการไทยและการจัดการ, 5(3), 104-113.  
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/TRDMJOPOlSU/article/view/277982/185085

-
คำสำคัญ : สังคมวิทยา สังคมวิทยาและมานุษวิทยา สังคมศึกษา ประวัติศาสตร์ หนังสือแนะนำ ความเชื่อ ความเชื่อโบราณ ความเชื่อส่วนบุลคล ความเชื่อความศรัทธา เครื่องราง ความเชื่อ
socialstudies, booklover, book, taicchulalibrary, taicchula, history, chulalongkorn university, Chulalibrary, south eastasia, mysterious, faith, believe, religious activities, religious
 
 
 

views 179